แป้งสาลีกับการทำขนมกลีบลำดวน
- หมวด แชร์เทคนิคการทำอาหาร
Highlight
- ความเป็นมาของขนมกลีบลำดวน
- วัตถุดิบในการทำกลีบลำดวน
- การขึ้นรูปขนมกลีบลำดวน
“ดอกลำดวน” หรืออีกชื่อในนาม “หอมนวล” เป็นชื่อของดอกไม้หอมชนิดหนึ่งที่มีเอกลักษณ์ชวนพิศมัยถึงความน่ารัก น่าทะนุถนอม ส่งกลิ่นหอมหวานไปได้ไกล และยังเป็นดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
ดอกลำดวนไม่ได้มีแต่ในประเทศไทย ประเทศในแถบเพื่อนบ้านของไทยก็พบเจออยู่บ้าง เช่น กัมพูชา แต่จะเรียกว่า “ดอกผการ็อมดวล” ต้นลำดวนเป็นไม้ยืนต้น ให้ดอกสีขาวหรือสีเหลืองนวล กลีบดอกจะหนา ทึบและแข็ง กลีบดอกมี 2 ชั้น ชั้นนอกจะบานออก แต่ชั้นในจะหุบเข้า ไม่บานออกแบบชั้นนอก สำหรับในประเทศไทย ต้นลำดวนจะมีปลูกเกือบทุกที่ในภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพราะเป็นดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอม ดอกลำดวนบานเต็มที่จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร และจะบานเต็มที่ในช่วงเดือนมีนาคม ส่งกลิ่นหอมมากในเวลาค่ำ หากจะเก็บดอกลำดวนไปใช้เพื่อความหอมจึงควรเก็บในช่วงค่ำจึงดีที่สุด
ความเป็นมาของขนมกลีบลำดวน
ขนมดอกลำดวน แต่คนส่วนมากนิยมเรียกว่าขนมกลีบลำดวน หากดูตามลักษณะของขนมควรที่จะเรียกกันว่าขนมดอกลำดวนเสียมากกว่า ภายในหนึ่งชิ้นประกอบไปด้วยกลีบดอก 3 กลีบ มองดูเหมือนมีเกสรอยู่ตรงกลาง ซึ่งจริง ๆ แล้วคือกลีบชั้นในของดอกลำดวน เป็นขนมที่น่าจะเกิดจากการประยุกต์มาจากขนมรูปแบบชนชาติตะวันตกอย่างเช่นชาวโปรตุเกส ชาวฮอลลันดาที่มักทำเป็นคุกกี้รูปกลม ๆ ที่ใช้ช้อนตักเป็นคำ ๆ ใช้วิธีการทำให้สุกโดยการอบเป็นหลัก รับประทานยามบ่าย เสิร์ฟพร้อมน้ำชาร้อน
คนไทยเห็นการทำขนมอบอย่างฝรั่งแล้วดูว่าโก้หรู เพราะใช้วัตถุดิบจากต่างประเทศเป็นแป้งสาลีนำเข้า เลยนำมาดัดแปลงให้สวยงามและประดิษฐ์ขนมออกมาให้งาม ล้อเลียนดอกไม้จากธรรมชาติ จึงเป็นเหตุให้คิดเป็นดอกลำดวนตามความคิดเห็นของผู้เขียน
ขนมดอกลำดวนเป็นขนมที่หน้าตาน่ารักเหมาะพอดีคำ เก็บไว้ได้นาน ให้กลิ่นหอมอย่างไทย ๆ เพราะต้องอบด้วยควันเทียน ชาววังและบ้านผู้ดีมีตระกูลในสมัยก่อนมีข้าทาสบริวารมาก มีการเกณฑ์และจัดสรรข้าทาสบริวารให้ทำงาน จะกินอาหารหรือขนมก็ต้องบรรจงประดิษฐ์ให้สวยงามทุกอย่าง ก่อนจะจัดสำรับอาหารส่งให้เจ้านาย
จากนั้นมาการทำขนมดอกลำดวนก็แพร่หลายออกจากวัง ออกจากบ้านเจ้านายชั้นสูง พัฒนาดัดแปลงให้เข้ากับยุคสมัย โดยยังคงใช้แป้งสาลีเป็นตัวหลักในการทำขนมดอกลำดวน ซึ่งสูตรและวิธีทำก็แตกต่างกันตามกาลเวลาจนผิดเพี้ยนจากแบบดั้งเดิมที่สืบต่อ ๆ กันมาจากชาววัง จึงทำให้ขนมดอกลำดวนเพี้ยนไปไม่ว่าจะเป็นการปั้นขึ้นรูป จากการทำเป็นรูปลักษณ์ดอกลำดวน เปลี่ยนไปเป็นแบบกลมและ/หรือแบบแท่ง จำนวนกลีบดอก จากสามกลีบเป็นสี่กลีบ การใช้สีตกแต่งเพิ่มเติม จากดั้งเดิมไม่ผสมสีหรือผสมสีเหลืองอ่อนจากดอกกรรณิการ์ ปัจจุบันผสมสีผสมอาหารสีอื่นลงไปบ้างเพื่อให้เกิดสีอื่นตามต้องการ แต่ยังคงเน้นให้เป็นสีอ่อน ๆ หรือมีการนำวัตถุดิบอย่างอื่นมาผสมให้เกิดสีและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์มากขึ้น เช่น ผงมันม่วง ผงฟักทอง ผงอัญชัญ ผงทุเรียน ผงใบเตย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเมื่อใส่ผงต่าง ๆ เพิ่มเข้าไป อาจจะต้องปรับสูตรแป้งไปบ้างเพื่อคงสัมผัสที่ดีของขนมไว้
วัตถุดิบในการทำกลีบลำดวน
ในการทำขนมดอกลำดวน ส่วนผสมที่ใช้มีแป้งสาลี น้ำตาลทรายป่น น้ำมันหมู น้ำมันพืช หรือเนย โดยการทำนั้นส่วนมากจะใช้แป้งสาลี 2 ส่วน น้ำตาลทรายป่น 1 ส่วน มาผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน ผสานให้เข้ากันด้วยน้ำมันหรือเนยขาวให้พอจับตัวได้
ในยุคสมัยใหม่มีการเปลี่ยนแปลงสูตรไปตามกาลเวลา เพิ่มผงชาเขียว ผงมันม่วง งาขี้ม่อน ผงไข่เค็ม เกิดเป็นขนมไทยประยุกต์ เพราะนี่เป็นการวิวัฒนาการในมิติที่หลากหลาย อาจจะเพิ่มแป้งข้าวโพดเพื่อความกรอบ ใส่น้ำตาลไอซิ่งแทนน้ำตาลป่น จนคนสมัยใหม่เข้าใจว่าเป็นคุ้กกี้
แป้งสาลีที่ใช้ในการทำขนมดอกลำดวนนั้นใช้แป้งสาลี 2 ประเภท คือ แป้งอเนกประสงค์ เช่น แป้งว่าว และแป้งเค้ก ตราพัดโบก ในอัตราส่วนแป้งอเนกประสงค์ 3 ส่วน แป้งเค้ก 1 ส่วน การที่ต้องผสมแป้ง 2 อย่าง เพื่อให้ได้สัมผัสที่ดีทั้งความเบา ความกรอบ และรูปทรงที่คมชัดสวยงาม แป้งอเนกประสงค์จะทำให้รูปลักษณ์ขนมที่คมชัดสวยงาม ส่วนแป้งเค้กจะให้สัมผัสที่เบา ไม่แน่นหรือกระด้างจนเกินไป หากใช้แป้งเค้กแต่เพียงอย่างเดียวเนื้อขนมจะเบาและร่วนเกินไป จะมีผลกับการเชื่อมกลีบดอก กลีบดอกอาจไม่ติดกันดีในตอนอบ รูปลักษณ์ขนมจะไม่สวย
สำหรับน้ำตาลทรายจะใส่ประมาณครึ่งหนึ่งของแป้งที่ใช้ทั้งหมด น้ำตาลทรายที่ใช้เป็นน้ำตาลทรายป่น ไม่ใช้น้ำตาลทรายธรรมดา เพราะน้ำตาลทรายป่นจะมีลักษณะเป็นผงละเอียดมากคล้ายแป้ง ในขณะที่น้ำตาลทรายเป็นเกล็ดหยาบ การใช้น้ำตาลทรายป่นจะทำให้แป้งและน้ำตาลทรายป่นเข้ากันได้ดีง่าย น้ำตาลจะละลายเร็วเมื่อมีของเหลวมาผสม ไม่เป็นเกล็ด มีสัมผัสให้ได้ขนมที่เนื้อเนียนละเอียด จากนั้นจึงใส่ส่วนของไขมัน ในสมัยก่อนใช้น้ำมันหมูเจียวหรือน้ำมันขี้โล้ น้ำมันขี้โล้คือกะทิเอามาเคี่ยวให้เข้มข้น สุดท้ายจะแยกขั้นเป็นไขมันและตะกอน ต่อมาใช้น้ำมันพืชหรือเนยขาวแทน การใช้น้ำมันหมูและน้ำมันขี้โล้ในสมัยก่อนเพราะยังไม่มีน้ำมันพืช แต่การใช้น้ำมันหมูอาจจะทำให้ขนมเกิดการหืนได้ง่าย ในระยะต่อมาจึงใส่น้ำมันพืชหรือเนยขาวแทนเพราะสะดวก หาง่าย และมีกลิ่นไม่พึงประสงค์น้อย การใส่ไขมันให้ทะยอยใส่แล้วค่อย ๆ นวดส่วนผสมให้เข้ากันอย่างเบามือ การผสมอย่างเบามือจะทำให้เนื้อแป้งไม่อัดแน่นเกินไป การใส่ไขมันนั้นจะใส่แค่ไหนอาจจะไม่มีตัวเลขที่ตายตัวเสียทีเดียว ให้ดูลักษณะแป้งที่ได้ออกมาเป็นหลัก ทะยอยใส่ไขมันไปเรื่อย ๆ เมื่อแป้งเริ่มจับตัวกันให้เช็คเป็นระยะ วิธีทดสอบคือ ให้กำแป้งขึ้นมาในมือ ให้แป้งอยู่ในอุ้งมือ แล้วคลายมือออก ก้อนแป้งจะต้องอยู่ตัว ไม่แตกออก หากก้อนแป้งยังแตกออกให้ใส่ไขมันเพิ่มขึ้นครั้งและน้อยแล้วนวดต่อ ถ้าหากเผลอใส่ไขมันมากไป เมื่อเช็คแป้งที่นวดแล้วรู้สึกว่าไม่อยู่ตัว แป้งย้อยลงมา ให้เติมแป้งลงไปแล้วนวดต่อ ในการเติมให้เลือกใช้แป้งอเนกประสงค์ ให้นึกถึงการทำแป้งบัวลอยจะเห็นภาพได้ง่าย เมื่อผสมแป้งได้จุดนั้นแล้ว ให้เอาแป้งใส่ชามผสมไว้ เอาพลาสติกแร๊บคลุมไว้กันแป้งแห้ง ให้พักแป้งไว้อย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อให้แป้งดูดซับไขมันเข้าตัวเองจนหมด
การขึ้นรูปขนมกลีบลำดวน
เมื่อครบเวลาที่พักแป้งแล้ว จึงมาถึงขั้นตอนการขึ้นรูปขนม โดยแบ่งแป้งเป็นก้อนกลม ๆ เส้นผ่าศูนย์กลางขนาด 2 เซนติเมตร แล้วผ่าแบ่งเป็น 4 ส่วน สมัยก่อนใช้มีดเล็ก ๆ ในการผ่า ปัจจุบันมีอุปกรณ์ที่เอื้ออำนวยต่อขนมมากขึ้น ลักษณะคล้ายแท่งเหล็ก ปลายแท่งมีลักษณะเป็นแฉก ๆ เพื่อแบ่งแป้งให้เท่ากัน เมื่อแบ่งแป้งเป็น 4 ส่วนแล้ว นำ 3 ใน 4 ส่วนมาจัดเรียงให้ชนกัน และที่เหลืออีก 1 ส่วนปั้นเป็นทรงกลม วางเป็นเกสรตรงใจกลาง ใช้มีดบากส่วนที่เหมือนเกสรให้สวยงาม 3 แฉก เวลาบากส่วนที่เหมือนเกสรรอยบากต้องสับหว่างกับกลีบที่ทำไว้ บรรจงให้เหมือนดอกลำดวนของจริงมากที่สุด
ทำจนครบแป้งที่เตรียมไว้ ระหว่างการทำพยายามเก็บรักษาแป้งส่วนที่ยังไม่ได้ขึ้นรูปไม่ให้ถูกอากาศ เพื่อกันไม่ให้แป้งแห้ง ส่วนที่ขึ้นรูปเป็นดอกแล้วก็เช่นกัน ดังนั้นควรใช้ผ้าขาวบางคลุมไว้เสมอ การเรียงขนมกลีบลำดวนที่ปั้นแล้วลงบนถาด ถ้าในเนื้อแป้งมีไขมันมากพออาจไม่จำเป็นต้องทาเนยขาวที่ถาดเลย หรือหากไม่มั่นใจจะทาถาดด้วยเนยขาวบาง ๆ เท่านั้น แต่ปัจจุบันมีแผ่นรองอบขนมมากมายหลายแบบที่สามารถเลือกใช้เพื่ออำนวยความสะดวกไม่ให้ขนมติดก้นถาดหลังอบก็ใช้ได้เช่นกัน และยังมีข้อดีที่ไม่ต้องทาเนยขาวบนถาดอีกด้วย การวางขนมกลีบลำดวนที่ขึ้นรูปแล้ว ให้เว้นช่องไฟห่างกันประมาณ 2 เซนติเมตร ขนมไม่ได้ขยายตัวหลังอบ เพราะไม่ได้มีสารทำให้ขึ้นฟู แต่เพื่อให้สะดวกในการหยิบจับออกหลังอบ จากนั้นนำขนมเข้าอบด้วยไฟที่ไม่สูงมาก ราว ๆ 120-140 องศาเซลเซียส ไฟบนและล่าง ไม่เปิดพัดลมกระจายความร้อน ในส่วนของระยะเวลานั้นประมาณ 12-15 นาที แล้วแต่ความเสถียรของเตาและขนาดของดอกลำดวนที่ปั้นไว้ เมื่อครบเวลาแล้วให้นำถาดออกจากเตา วางถาดบนตะแกรงเพื่อระบายความร้อนที่ก้นถาด ลักษณะขนมที่ออกมาสีจะออกนวล ๆ ไม่เข้มเป็นสีทองหรือสีน้ำตาลแบบขนมอบของชาติตะวันตก
ลักษณะขนมดอกลำดวนตอนอบใหม่ ๆ ส่วนของกลีบดอกต้องคมสวยงาม สีต้องอ่อน ๆ นวล ๆ ไม่มีรอยแตกบนผิวขนม แต่ขนมจะยังไม่เซ็ทตัวดี ต้องพักไว้ให้คลายร้อนเสียก่อน จึงแซะหรือหยิบออกจากถาดด้วยความเบามือ แล้วนำไปเรียงใส่โถเพื่ออบควันเทียนให้เกิดความหอมเฉพาะตัว ขนมชาติตะวันตกจะใส่กลิ่นวานิลลาลงไปเพื่อให้เกิดความหอม แต่สำหรับขนมดอกลำดวนใช้การอบเทียนอบให้เกิดความหอมแบบไทย ๆ และลดกลิ่นของไขมันที่ใส่ลงไปด้วย
สำหรับการอบควันเทียนอบหลังจากเรียงขนมลงบนภาชนะแล้ว ให้ใช้ไม้จิ้มฟันหรือไม้จิ้มลูกชิ้น จิ้มไปที่ไส้เทียนอบให้คลี่กระจายออก แล้วจึงจุดเทียนอบให้โดนส่วนขี้ผึ้งให้ละลาย วางเทียนอบลงบนถ้วยที่วางไว้ในภาชนะที่เรียงขนม รอสักพักให้เกิดควันเทียน ปิดฝาภาชนะไว้สักพัก ไฟที่อยู่ตรงไส้เทียนจะดับและควันเทียนจะค่อย ๆ จางลง ทำซ้ำจนขนมจับกลิ่นควันเทียนอบตามต้องการ อาจจะ 2-3 รอบ ก่อนจะจุดเทียนอบรอบใหม่ให้เล็มไส้เทียนที่ไหม้เป็นสีดำออกก่อนเสมอ หลังจากนั้นย้ายขนมใส่ภาชนะมีฝาปิดเก็บไว้ได้นาน
ลักษณะขนมดอกลำดวนหรือกลีบลำดวนที่ดี ขนาดไม่ใหญ่มาก สีนวลสวยงาม ไม่ออกเป็นสีน้ำตาลหรือสีที่บ่งบอกความไหม้ ส่วนกลีบไม่มีรอยแตก กัดแล้วละลายในปาก ไม่กระด้าง มีความหอมควันเทียนแบบไทย ๆ
แม่สลิ่ม
ครูจุ๋ม นฤมล ทองธรรมชาติ